“โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพาราภายใต้แนวทางพัฒนายางพาราทั้งระบบ”
โครงการสนับสนุนสินเชื่อสถาบันเกษตรกรแปรรูปยางพารา ภายใต้แนวทางพัฒนา
ยางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
ยางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท
1. วัตถุประสงค์โครงการ
1.1 เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลงทุนแก่สถาบันเกษตรกร นำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต/ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว และ/หรือลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่ในการแปรรูปยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า
1.1 เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการลงทุนแก่สถาบันเกษตรกร นำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต/ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว และ/หรือลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่ในการแปรรูปยางพาราเพื่อเพิ่มมูลค่า
1.2 เพื่อสนับสนุนสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรในการแปรรูปยางพารา
1.3 เพื่อเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมการเชื่อมโยงธุรกิจต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ในกระบวนการสหกรณ์
2. คุณสมบัติของผู้กู้
2.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
1) เป็นสถาบันเกษตรกรที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ให้รวมถึงกลุ่มเกษตรกรที่จดทะเบียนตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยกลุ่มเกษตรกร พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 20 26 และ 31 ต้องไม่มีการทุจริตหรือข้อบกพร่องในการดำเนินงานที่เป็นสาระสำคัญ หรือถ้ามี สถาบันเกษตรกรต้องดำเนินการแก้ไขจนเป็นที่พอใจของธนาคารแล้ว(ข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่ ทุจริต ปิดบัญชีไม่ได้ภายใน 150 วันนับแต่วันสิ้นสุดบัญชีโดยเกิดจากข้อบกพร่องของสถาบันเกษตรกรเอง ขาดทุนสะสมเกินกว่า 3 ปีบัญชี ขาดทุนเกินกึ่งหนึ่งของทุนเรือนหุ้นมีบัญชีเจ้าหนี้เงินกู้มากกว่าลูกหนี้เงินกู้ มีผลการดำเนินงานขาดทุนติดต่อกัน 3 ปี
2) ปัจจุบันสถาบันเกษตรกรยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น โรงงานแปรรูปยางแท่ง โรงงานยางแผ่นรมควัน ยางอัดก้อน โรงงานยางคอมปาวด์ โรงงานน้ำยางข้น โรงงานยางเครป โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป มีอาคารสถานที่สำหรับเก็บรักษาผลิตผลการเกษตรที่เหมาะสม มั่นคง แข็งแรง ฯลฯ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของสถาบันเกษตรกรให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) สถาบันเกษตรกรต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
2.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
1) เป็นวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45 กรณีวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45
2) ปัจจุบันยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของวิสาหกิจชุมชนและองค์กรวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) วิสาหกิจชุมชน องค์กรวิสาหกิจที่ทำธุรกิจยางพาราต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
2.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
1) เป็นสถาบันเกษตรกรที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ. สหกรณ์ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งนี้ให้รวมถึงกลุ่มเกษตรกรที่จดทะเบียนตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยกลุ่มเกษตรกร พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 20 26 และ 31 ต้องไม่มีการทุจริตหรือข้อบกพร่องในการดำเนินงานที่เป็นสาระสำคัญ หรือถ้ามี สถาบันเกษตรกรต้องดำเนินการแก้ไขจนเป็นที่พอใจของธนาคารแล้ว(ข้อบกพร่องที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่ ทุจริต ปิดบัญชีไม่ได้ภายใน 150 วันนับแต่วันสิ้นสุดบัญชีโดยเกิดจากข้อบกพร่องของสถาบันเกษตรกรเอง ขาดทุนสะสมเกินกว่า 3 ปีบัญชี ขาดทุนเกินกึ่งหนึ่งของทุนเรือนหุ้นมีบัญชีเจ้าหนี้เงินกู้มากกว่าลูกหนี้เงินกู้ มีผลการดำเนินงานขาดทุนติดต่อกัน 3 ปี
2) ปัจจุบันสถาบันเกษตรกรยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ เช่น โรงงานแปรรูปยางแท่ง โรงงานยางแผ่นรมควัน ยางอัดก้อน โรงงานยางคอมปาวด์ โรงงานน้ำยางข้น โรงงานยางเครป โรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางสำเร็จรูป มีอาคารสถานที่สำหรับเก็บรักษาผลิตผลการเกษตรที่เหมาะสม มั่นคง แข็งแรง ฯลฯ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของสถาบันเกษตรกรให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) สถาบันเกษตรกรต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
2.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
1) เป็นวิสาหกิจชุมชนที่จดทะเบียนตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน พ.ศ. 2547 และผู้กู้ต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45 กรณีวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และต้องมีลักษณะตามข้อบังคับธนาคารฉบับที่ 45
2) ปัจจุบันยังดำเนินธุรกิจแปรรูปยางอย่างต่อเนื่อง
3) มีทรัพย์สินที่ใช้ในการดำเนินงาน ตลอดจนมีเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ เหมาะสมกับธุรกิจ
4) คณะกรรมการดำเนินการ ฝ่ายจัดการ และเจ้าหน้าที่ของวิสาหกิจชุมชนและองค์กรวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพาราให้ความร่วมมือกับธนาคารด้วยดีเสมอมา
5) วิสาหกิจชุมชน องค์กรวิสาหกิจที่ทำธุรกิจยางพาราต้องไม่มีหนี้เงินกู้ค้างชำระกับธนาคาร
3. วัตถุประสงค์การกู้เงิน
สำหรับสหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน
1) วัตถุประสงค์เพื่อเป็นค่าลงทุนนำไปใช้ในการขยายกำลังการผลิต/เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตในโรงงานแปรรูปยางที่จัดสร้างไว้แล้ว และ/หรือลงทุนจัดสร้างโรงงานใหม่ในเพิ่มมูลค่า วงเงินสินเชื่อ 3,500 ล้านบาท
2) วัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมและรับซื้อวัตถุดิบป้อนโรงงาน วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท
4. อัตราดอกเบี้ย
4.1 สินเชื่อเพื่อเป็นค่าลงทุน วงเงินสินเชื่อ 3,500 ล้านบาท
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567 กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ภาคการเกษตรในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 และกองทุนพัฒนาสหกรณ์สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สหกรณ์ภาคการเกษตรร้อยละ 0.49 ต่อปี
2) กรณีกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
4.1 สินเชื่อเพื่อเป็นค่าลงทุน วงเงินสินเชื่อ 3,500 ล้านบาท
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567 กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากสหกรณ์ภาคการเกษตรในอัตราร้อยละ 0.50 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 และกองทุนพัฒนาสหกรณ์สนับสนุนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สหกรณ์ภาคการเกษตรร้อยละ 0.49 ต่อปี
2) กรณีกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2567กำหนดอัตราดอกเบี้ย MLR – 1.50 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR เท่ากับร้อยละ 5.00 ต่อปี) คิดดอกเบี้ยจากกลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชนในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
4.2 สินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน วงเงินสินเชื่อ 1,500 ล้านบาท
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ 1 รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
2) กรณีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2558 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 1.00 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49 ต่อปี
1) กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2557 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากสถาบันเกษตรกรในอัตราร้อยละ 1 รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49
2) กรณีกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในช่วงโครงการฯ ตั้งแต่ 1 กันยายน 2558 – 31 สิงหาคม 2562 คิดดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ 1.00 ต่อปี รัฐบาลชดเชยอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.49 ต่อปี
5. วงเงินกู้ขั้นสูง
5.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
วงเงินกู้ตามโครงการฯนี้ให้พิจารณาแยกวงเงินต่างหากจากวงเงินกู้ปกติของสถาบันเกษตรกรและเมื่อรวมกับวงเงินกู้อื่นตามสัญญากู้เงินเดิมในวัตถุประสงค์การใช้เงินกู้เดียวกันทั้งหมดและวงเงินกู้ตามข้อบังคับฉบับอื่นหรือเจ้าหนี้เงินกู้อื่นหรือเงินรับฝากจากสหกรณ์อื่นและบุคคลภายนอกแล้ว ต้องไม่เกินวงเงินกู้ยืมหรือค้ำประกันประจำปีที่นายทะเบียนสหกรณ์
เห็นชอบปีล่าสุด
5.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
วงเงินกู้ตามโครงการฯนี้ให้พิจารณาแยกวงเงินต่างหากจากวงเงินกู้ปกติของวิสาหกิจชุมชนและองค์กรวิสาหกิจอื่นที่ทำธุรกิจยางพารา และเมื่อรวมกับวงเงินกู้อื่นตามสัญญากู้เงินเดิมต้องไม่เกิน 20 เท่าแห่งทุนตนเองตามข้อบังคับฉบับที่ 45
6. ระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้
6.1 กรณีสหกรณ์ภาคการเกษตร และกลุ่มเกษตรกร
1) เพื่อเป็นค่าลงทุน กำหนดชำระไม่เกิน 10 งวด ปลอดชำระต้นเงินกู้ได้ไม่เกิน 2 งวด คือ งวดที่ 1 และงวดที่ 2 แต่ต้องส่งชำระดอกเบี้ยเงินกู้ทุกปี
- ช่วงระยะปีที 1 ถึงปีที่ 2 สถาบันเกษตรกรจะปลอดชำระต้นเงินกู้ แต่ต้องชำระดอกเบี้ย
เงินกู้ทุกปี
- ปีที่ 3–4 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 5–6 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 7–8 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 9–10 สถาบันเกษตรกรต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของต้นเงินกู้ยืม 2) เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน กำหนดให้ผู้กู้ต้องชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้แต่ละรายให้เสร็จสิ้นไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันเบิกรับเงินกู้ แต่ทั้งนี้ต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 31 สิงหาคม 2562
6.2 กรณีวิสาหกิจชุมชน
1) เพื่อเป็นค่าลงทุนกำหนดชำระไม่เกิน 9 งวด ดังนี้
- ช่วงระยะปีที 1 ถึงปีที่ 2 ผู้กู้จะปลอดชำระต้นเงินกู้ แต่ต้องชำระดอกเบี้ยเงินกู้ทุกปี
- ปีที่ 3–4 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 5–6 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 7–8 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของต้นเงินกู้ยืม
- ปีที่ 9 ผู้กู้ต้องชำระคืนต้นเงินกู้ร้อยละ 40 ของต้นเงินกู้ยืม 2) เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน กำหนดให้ผู้กู้ต้องชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้แต่ละรายให้เสร็จสิ้นไม่เกิน 12 เดือน นับตั้งแต่วันเบิกรับเงินกู้ แต่ทั้งนี้ต้องชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นไม่เกินวันที่ 31สิงหาคม 2562
8. เป้าหมายและระยะเวลาการดำเนินโครงการ
สหกรณ์ภาคการเกษตร กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
1 เป้าหมาย ดำเนินการในพื้นที่ดำเนินงานของสาขาทั่วประเทศ
1 เป้าหมาย ดำเนินการในพื้นที่ดำเนินงานของสาขาทั่วประเทศ
2 ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567
******************************
ช่องทางการติดต่อ
ติดต่อธนาคาร
: เวลาทำการ จันทร์ - ศุกร์ เวลา 08.30
- 15.30 น.
ที่อยู่ :
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
(ธ.ก.ส.)เลขที่ 2346 ถนนพหลโยธิน
แขวงเสนานิคม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โทรศัพท์ : ธ.ก.ส. Call Center 0-2555-0555 บริการ
24 ชั่วโมง ทุกวัน
ศูนย์บริการลูกค้า 1593 บริการ ในวันและเวลาทำการ
สำนักงานใหญ่ 0-2558-6555

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น